เทคนิคกำจัดขยะร้านอาหาร

เทคนิคกำจัดขยะร้านอาหาร ลด Waste ในครัวอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยวิธีการแยกขยะอย่างถูกต้อง

 

ร้านอาหารหรือเครื่องดื่มทั่วไปมักเลือกจัดการและกำจัดขยะในช่วงปิดร้าน ทำให้มีขยะ หรือสิ่งเหลือใช้อยู่ในร้านนานหลายชั่วโมง ยิ่งร้านอาหารที่เปิดตั้งแต่ปิดค่ำ เศษอาหารหรือขยะต่าง ๆ จะยิ่งหมกหมมมากขึ้น

ซึ่งอาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และทำให้มีแมลงหรือสัตว์อย่างแมลงวัน หนู เข้ามารบกวนในร้าน ซึ่งกระทบต่อสุขอนามัย ความปลอดภัย และภาพลักษณ์ของร้านได้

การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างวัน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยจัดการปัญหาขยะตกค้างได้เป็นอย่างดี เทคนิคกำจัดขยะร้านอาหาร ทำได้ด้วยวิธีง่าย ๆ นี้เลย

 

แยกขยะตั้งแต่ต้นทาง 

เป็นสิ่งแรกที่ร้านอาหารควรทำ เพื่อช่วยให้สามารถจัดการกับขยะได้ง่ายและเหมาะสมกว่าการทิ้งขยะทั้งหมดในถัง เพราะขยะร้านอาหารมีทั้งของสด พลาสติก กระดาษ แก้ว และขยะเหลือใช้ต่าง ๆ การแยกขยะช่วยให้เรารู้ว่ามีขยะอะไรบ้างที่ควรจำกัดระหว่างวัน หรือขยะส่วนใดจัดการเมื่อร้านปิดได้

อีกทั้งยังง่ายต่อการกำจัดขยะของหน่วยงานที่รับผิดชอบและช่วยลดปริมาณขยะ ซึ่งเป็นวิถีรักษ์โลกอีกแบบหนึ่งด้วย ขยะในร้านอาหารประกอบด้วย

 

ขยะอินทรีย์

หรือของสด เช่นเศษอาหาร เศษผัก เปลือกผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ควรจัดการทุก ๆ 1- 4 ชั่วโมง อาแบ่งเป็นหลังรอบลูกค้า หลังการเตรียมอาหาร หรือวันไหนคนเยอะอาจจัดการทันทีเมื่อขยะเต็ม และช่วงปิดครัวหลังเก็บร้านอีก 1 ครั้ง

ทั้งนี้สามารถเลือกใช้เครื่องบดเศษอาหาร (Food Waste Disposer) เพื่อบดเศษอาหารให้ละเอียดก่อนปล่อยลงท่อระบายน้ำ และเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ (Food Waste Decomposer / Composter)

ในการเปลี่ยนขยะอินทรีย์ให้เป็นปุ๋ยแบบรวดเร็วใน 24–48 ชม.หรือปล่อยให้ย่อยสลายตามธรรมชาตินานประมาณ 7–14 วัน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณขยะทิ้งได้มากถึง 80 % ทีเดียว สำหรับน้ำมันพืชใช้แล้วสามารถรวบรวมไว้เพื่อขายในราคารับซื้อ 12-20บาท/ลิตรทีเดียว

 

ขยะรีไซเคิล

ได้แก่ ขวดน้ำดื่ม กระป๋อง กล่องกระดาษ ฝาขวด พลาสติกบางชนิด ควรแยกถังขยะเฉพาะ เก็บทิ้งทุกครั้งหลังปิดร้าน ระหว่างวันอาจทิ้งรวมไว้ก่อน แล้วค่อยมาแยกประเภทขยะอีกครั้งเมื่อปิดร้าน ขยะประเภทนี้มีมูลค่าซ่อนอยู่ นำไปขายให้กับร้านรับซื้อขยะรีไซเคิลได้

อย่างขวดน้ำพลาสติก มีราคา 3-6 บาท/กก. แก้วพลาสติกใส่ชาหรือกาแฟ ราคา 2-4 บาท/กก. กล่องกระดาษ ราคา 2 – 5 บาท/กก. กระป๋องน้ำอัดลมหรือแอลกอฮอล์ ราคา 40-60 บาท/กก. ขวดแก้วราคา 50สตางค์ – 1 บาท/กก.

 

ขยะทั่วไป

เช่น พลาสติกปนเปื้อน ซองขนม พลาสติกแร๊ปอาหาร ควรแยกทิ้งอีกต่างหาก สามารถจัดการหลังปิดร้านได้

 

ใช้ถังขยะที่เหมาะสม

สำหรับร้านอาหารควรเลือกใช้ถังขยะมีฝาปิดเพื่อป้องกันกลิ่นและแมลง อาจแยกสีหรือติดป้ายระบุประเภทขยะให้ชัดเจน หากเป็นขยะในครัวควรมีหลายจุด และเปลี่ยนถุงทันทีเมื่อเต็ม

 

กำหนดเวลาเก็บขยะระหว่างวันให้ชัดเจน

โดยแบ่งเวลาเก็บขยะ ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง หลังรอบเสิร์ฟ หรือหลังเตรียมอาหารเสร็จ

 

ฝึกอบรมพนักงาน

ให้รู้จักวิธีแยกขยะ ทำป้ายบอกขั้นตอนให้ชัดเจนและแปะในจุดที่อ่านสะดวก อาจมีการกำหนดกฎระเบียบ การตรวจประเมิน กำหนดคนที่รับผิดชอบตรวจสอบจุดทิ้งขยะเป็นระยะ รวมถึงอาจให้คะแนนพิเศษสำหรับพนักงานที่ใส่ใจเรื่องการกำจัดขยะเพื่อกระตุ้นให้ปฏิบัติจริง

 

ติดต่อหน่วยงานจัดการขยะท้องถิ่น

และบริษัทรับซื้อขยะไว้ล่วงหน้า เพื่อตรวจสอบรอบการเก็บขยะ และจุดรับขยะเพื่อให้ง่ายต่อการวางแผนของร้าน

 

อย่างไรก็ตามในช่วงแรกของการปรับระบบการจัดการขยะอาจยังไม่คล่องตัวนัก ค่อย ๆ หาจุดที่เหมาะสมสำหรับร้าน พนักงาน และลูกค้า เชื่อว่าขยะจากร้านอาหารจะกลายเป็นเรื่องจิ๋ว ๆ ไปเลยค่ะ

 

หวังว่าบทความที่นำมาฝากกันในวันนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการและคนที่อยากเปิดร้านอาหารทุกท่านนะคะ ฝากติดตาม Torpenguin ในทุก ๆ ช่องทางด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ 😊

 

📌 ติดตามข่าวสารธุรกิจร้านอาหาร
Facebook : Torpenguin
Instargram : torpenguin
TikTok : torpenguin
Youtube : Torpenguin

 

📌 อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจต่อ