กลยุทธ์การตั้งราคาขาย สำหรับคนทำเดลิเวอรี ตั้งยังไงให้ไม่เข้าเนื้อซะเอง
การตั้งราคาขายคือกลยุทธ์ที่สำคัญในการทำธุรกิจไม่ว่าจะอยู่ใน ธุรกิจใดก็ตาม โดยเฉพาะคนที่กำลังเริ่มทำร้านอาหารที่คงมีคำถามว่า อาหารของเรานั้นควรตั้งราคาขายเท่าไหร่ดี ?
ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีใครที่อยากขายของในปริมาณที่มากแต่กลับได้กำไรน้อย ทุกคนล้วนอยากขายของได้ในปริมาณที่ไม่ต้องมากแต่ได้กำไรมากทั้งนั้น ร้านอาหารก็เช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่างั้นเราก็ตั้งราคาขายให้สูงไว้ก่อนเลยจะได้กำไรต่อจานเยอะๆ ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญต้องพิจารณาประกอบกัน
ทั้งประเภทร้าน (Restaurant type) กลุ่ม ลูกค้าเป้าหมาย (Target Customer) ทำเลที่ตั้ง (Location) ต้นทุนสินค้า (Product Cost) คู่แข่ง (Competitor) ฯลฯ
การตั้งราคาเลยไม่ใช่แค่วิธีการที่เรากางต้นทุนทั้งหมดว่ามีเท่าไหร่แล้วก็บวกกำไรเข้าไปเป็นราคาขาย แต่มันคือกลยุทธ์ บางครั้งการตัดสินแพ้ชนะในธุรกิจอาจเกิดจากการตั้งราคาขายที่ต่างกันแค่หลักหน่วยก็เป็นได้
กลยุทธ์การตั้งราคาหลัก ๆ มี 3 วิธีการด้วยกัน ดังนี้เลย
#การตั้งราคาโดยคำนวณจากต้นทุนเป็นหลัก (Cost Based Pricing)
เช่น ต้นทุนวัตถุดิบอาหารจานนี้อยู่ที่ 30 บาทและต้นทุนอื่นๆ อีก 15 บาท เราอยากได้กำไรจานนี้ที่ 40 บาท เลยตั้งราคาขายที่ 85 บาท
หากเราใช้วิธีการตั้งราคาแบบคำนวณจากต้นทุนหรือ Cost Based Pricing มาตั้งราคาเมนู เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าประเภทของร้านอาหารที่เราทำ (Restaurant Type) เป็นประเภทใด และสัดส่วนค่าเฉลี่ยต้นทุนวัตถุดิบ (Cost of Goods Sold) อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่เราถึงจะสามารถคำนวณราคาขายได้
#การตั้งราคาโดยดูจากสภาพการแข่งขันในตลาด (Competitive Pricing)
เช่น เมนูจานนี้ในตลาดคู่แข่งขายกันอยู่ประมาณ 70-90 บาท แต่ร้านเราอยู่ในทำเลที่ดีและมีการตกแต่งที่สวยงามน่าจะขายราคาสูงกว่าตลาดได้นิดหน่อยเลยตัดสินใจขายที่ 90 บาท ก็สามารถทำได้
#การตั้งราคาโดยดูจากคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ (Value Based Pricing)
ซึ่งเราไม่ได้สนใจเลยว่าคู่แข่งจะขายราคาเมนูนี้อยู่ที่เท่าไหร่ หรือเรามีต้นทุนต่าง ๆ อยู่ที่เท่าไหร่ แต่เราดูที่ว่าลูกค้าเต็มใจจ่ายมนูนี้อยู่ที่เท่าไหร่ หากเรามีการวางแบรนด์ดิ้งที่ดี มีลูกเล่นในเมนู และมีการจัดแต่งจาน
สวยงาม เราอาจตั้งราคาขายเมนูนี้ที่ 180 บาท ในขณะที่คู่แข่งขายเมนูคล้ายๆ เราในราคาเพียง 100 บาทก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าจะเลือกกลยุทธ์แบบไหนในการตั้งราคา สิ่งที่ต้องกลับไปตั้งต้นให้ถูกต้องเป็นอันดับแรก คือ การคิดต้นทุนอาหารจานนั้น ( Plate Cost ) โดยเราจำเป็นที่ต้องรู้ก่อนว่าต้นทุนอาหารเมนูนั้นมีต้นทุนอยู่ที่เท่าไหร่
และถ้าต้องการนำเมนูนี้ไปขายอาหารออนไลน์ผ่านเดลิเวอรี่แอปฯ จะมีต้นทุนบรรจุภัณฑ์ (Packaging cost) ค่า GP เพิ่มขึ้นมาด้วย ก็ต้องอย่าลืมนำ ไปรวมกับต้นทุนวัตถุดิบต่อจาน (Plate cost) นั้น ๆ ด้วย ซึ่งก็จะทำให้ราคาขาย (Seling price) เปลี่ยนไป ซึ่งถ้าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมานี้ไม่ได้มีนัยยะสำคัญมากนัก เราอาจยึดที่ราคาขายเดิมก็ได้
#ข้อควรระวัง
สิ่งนึงที่ต้องคำนึงให้ดีตั้งแต่แรกคือ หากเราตั้งราคาที่สูงตอนต้น เรายังมีโอกาสที่จะลดราคาลงมาได้ แต่หากเราตั้งราคาที่ต่ำตั้งแต่แรกเราจะไม่มีโอกาสปรับราคาขึ้นได้เลย
แต่หากราคาที่เราตั้งสูงมากเกินความคาดหมายของลูกค้าแทนที่ลูกค้าจะพิจารณาร้านเรา เค้าอาจจะเปลี่ยนไปทานร้านอื่นทันทีโดยที่ยังไม่ได้เดินเข้ามาดูเมนูอย่างละเอียดเลยด้วยซ้ำ
ฉะนั้นการตั้งราคาขายให้เหมาะสมกับคุณค่าและสินค้าที่เราส่งมอบให้ลูกค้าจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องพิจารณาหลาย ๆ ปัจจัยเข้าด้วยกันไม่สามารถยึดจากปัจจัยใดปัจจัยเดียวได้
หวังว่า กลยุทธ์การตั้งราคาขาย สำหรับเดลิเวอรี่ ที่นำมาฝากกันในวันนี้ จะเป็นไอเดียสำหรับผู้ประกอบการและคนที่อยากเปิดร้านอาหารทุกท่านนะคะ ฝากติดตาม Torpenguin ในทุก ๆ ช่องทางด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ 😊
ติดตามข่าวสารธุรกิจร้านอาหาร
Facebook : Torpenguin
Instargram : torpenguin
TikTok : torpenguin
Youtube : Torpenguin
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจต่อ
- ทฤษฎีการโน้มน้าวคน โดย Aristotle ที่ยังใช้ได้ผล และเป็นพื้นฐานการตลาดที่สำคัญ
- Perception Gap สิ่งที่ทำร้ายแบรนด์ของเราโดยไม่รู้ตัว
- กฎใหม่ LIVE บน TikTok ปี 2025 ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้
- ทำอย่างไรให้เจ้าของธุรกิจ คิดและทำแบบนักการตลาดได้ มาถอดบทเรียนจากแบรนด์ต่าง ๆ กัน
- เริ่มยังไงดี ถ้าอยากลุยออนไลน์เต็มตัว ลองใช้ 13 เทคนิคทำคอนเทนต์สำหรับคนทำธุรกิจ
- ChatGPT สำหรับร้านอาหาร ปั้นยังไงให้สื่อสารได้ตรงใจลูกค้า
- เทคนิคสร้าง Storytelling ร้านอาหาร ฉบับคนตัวเล็ก
- USP คืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับร้านอาหาร?
- Decoy Pricing การตั้งราคา กลางที่ทำให้ลูกค้าไขว้เขวจนยอมจ่ายแพงกว่าเดิม
- การตั้งราคาขาย 10 แบบ ที่ใช้กันบ่อยที่สุดในโลก