shinkanzen sushi

Shinkanzen Sushi ซูชิรายได้พันล้านของคนฝันอยากทำธุรกิจ ที่เริ่มจากร้านเล็ก ๆ ในรั้วมหาลัย

 

เมื่อพูดถึงแบรนด์ซูชิขึ้นห้างในราคากินแล้วไม่รู้สึกผิด Shinkanzen Sushi มักจะเป็นแบรนด์แรกที่ถูกนึกถึง และสิ่งที่นึกควบคู่กันมาคือ ‘Shinkanzen’ เป็นแบรนด์ร้านอาหารเชนใหญ่

 

ใช่ครับ ในตอนนี้ Shinkanzen เป็นเชนร้านอาหารที่เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ร่วมลงทุนกว่า 51% และขยายสาขาไปกว่า 51 สาขา

 

แต่ ณ จุดเริ่มต้น นี่คือธุรกิจเล็ก ๆ ที่ตั้งต้นจากความฝันอยากสร้างธุรกิจของนักศึกษา 2 สองคน คุณศุภณัฐ สัจจะรัตนกุล และ คุณชนวีร์ หอมเตย พวกเขาลงขันเงินกันเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นแถวมหาลัย จากนั้นต่อยอดธุรกิจจนสามารถสร้างรายได้พันล้ายภายในเวลา 9 ปี

 

“Shinkanzen Sushi” มาจากคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ที่ต้องการทำร้านอาหารให้เปรียบเสมือนรถไฟ Shinkanzen ที่เป็นรถไฟที่มีคุณภาพดี รวดเร็ว คุ้มค่า คุ้มราคา เพื่อทำให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

 

หลังจากใช้เวลาประมาณครึ่งปีในการเริ่มคิดโมเดลธุรกิจ ทดสอบตลาด และทดลองวางขายตามตลาดนัด จึงเริ่มต้นเปิดร้านจริง “Shinkanzen Sushi” แทบไม่ทำการตลาดอะไรเลย เน้นให้ลูกค้าบอกปากต่อปาก อีกทั้งมีการตั้งราคาซูชิเริ่มต้นที่คำละ 11 บาท การเลือกวางราคานี้ เพราะอยากให้ลูกค้าได้รับประทานซูชิที่คุณภาพดี ในราคาสบายกระเป๋า

 

#เส้นทางธุรกิจของ Shinkanzen Sushi

2558 เปิดสาขาแรกตอนเป็นนักศึกษาปีสาม ด้วยเงินลงทุน 200,000 บาท

2560 ขยายสาขาเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าเป็นครั้งแรก

2562 ขยายโมเดล Shinkanzen Omakase สู่ร้านพรีเมี่ยม

2565 เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ ซีอาร์จี (CRG) ร่วมลงทุนในสัดส่วน 51% ทำรายได้ทะลุพันล้าน

 

และนี้คือกลยุทธ์ที่แฝงอยู่ในร้านและการบริหารของพวกเขามาตลอด 9 ปี

 

1. หาช่องโหว่ทางธุรกิจให้เจอ และสร้างความแตกต่างให้ได้

สำหรับ Shinkanzen พวกเขาเล็งเห็นว่าเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ร้านซูชิถ้าไม่ถูกเลย ก็แพงเลย ยังไม่มีร้านซูซิที่ตั้งราคาอยู่ตรงกลาง พวกเขาจึงตัดสินใจทำร้านซูชิราคากลาง ๆ แต่ใช้วัตถุดิบคุณภาพดี

 

2. Operation is keys

สาขาแรกเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ และเป็นสาขาที่ต้องลองผิดลองถูกจนหาการบริหารจัดการเจอ แล้วเมื่อเริ่มลงตัวในสาขาแรก การก้าวสู่สาขาต่อ ๆ ไป จะง่ายขึ้น

ณ จุดเริ่มต้นของ Shinkanzen เองก็ยังไม่ลงตัว แต่เมื่อเริ่มเซตระบบได้ การบริหารจัดการก็เริ่มง่ายขึ้น

 

3. ชูจุดแข็งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ซูชิ

สำหรับอาหารญี่ปุ่น ‘วัตถุดิบ’ มักจะเป็นหัวใจสำคัญที่ลูกค้าใช้ในการตัดสินใจเข้ามาในร้าน ฉะนั้น ทุกเมนูของ Shinkanzen หากมีวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ พวกเขาจะระบุต่อท้ายว่าวัตถุดิบชนิดนี้มาจากประเทศอะไร เช่น แซลม่อนนอร์เวย์

 

4. ซื้อวัตถุดิบจำนวนมาก ๆ เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลง (Economy of Scale)

เมื่อเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดี แต่ราคาขายไม่สูงมาก การซื้อในจำนวนมาก ๆ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ จึงเกิดขึ้น แน่นอนว่า เมื่อวัตถุดิบเยอะ การบริหารจัดการก็ต้องดีตาม และสิ่งที่ต้องทำให้ดีที่สุดก็คือยอดขาย

 

5. มีเมนูที่ยอมขาดทุนเพื่อเรียกลูกค้าเข้าร้าน

‘ฟัวกราส์’ เป็นเมนูที่ Shinkanzen ยอมขาดทุน แม้เขาจะตั้งใจเข้าร้านมาเพราะเมนูขาดทุนของเรา แต่นั้นคือการซื้อโอกาสให้ลูกค้าได้ลองพิจารณาเมนูอื่น ๆ และรู้จักร้านเรามากขึ้น

 

6. การตลาดที่รู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

มองตัวเองเป็นลูกค้า แล้วจะทำให้เราเห็นความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

กลุ่มลูกค้าของ Shinkanzen ชัดเจนว่าเป็นกลุ่มนักศึกษา คนที่มารายได้ปานกลางไปถึงสูง เหล่านี้เป็นความตั้งใจตั้งแต่เริ่มก่อตั้งร้าน และยังคงยึดมั่นจนถึงตอนนี้ แล้วเมื่อกลุ่มเป้าหมายชัด การตลาด การวางกลยุทธ์ต่าง ๆ ก็จะชัดเจน และสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงกลุ่มมากขึ้น

 

7. พาร์ทเนอร์ที่สนับสนุนในส่วนที่เราขาด

แม้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ Shinkanzen ก็ยังไม่สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดในทีเดียวได้ การได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จึงเป็นอีกก้าวสำคัญ ที่ Shinkanzen สามารถบริหาร Cash flow ของธุรกิจได้อย่างไหลลื่น และนำเงินไปตอยอดในส่วนอื่น ๆ ต่อไป

 

แม้กลยุทธ์ของ Shinkanzen อาจไม่ได้พาเราว้าวไปทั้งหมด แต่นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าการทำพื้นฐานให้ดีจนมั่นคง จะทำให้เราต่อยอดในขั้นต่อ ๆ ไปได้อย่างเข้มแข็ง และเข้าใกล้ความสำเร็จได้ง่ายขึ้น

 

การวางแผน ลงมือทำ และไม่ปล่อยโอกาสไป ถือเป็นการเปิดประตูสู่ความสำเร็จ อีกทั้งยังนำพาความก้าวหน้ามาสู่แบรนด์ได้ หวังว่าเรื่องราวของ Shinkanzen จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนนะคะ ไว้พบกันใหม่ในบทความหน้า ฝากติดตาม Torpenguin 🐧 ในทุก ๆ ช่องทางด้วยนะคะ

 

 

📌 ติดตามข่าวสารธุรกิจร้านอาหาร

Facebook : Torpenguin
Instargram : torpenguin
TikTok : torpenguin
Youtube : Torpenguin

 

📌อ่านบทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจต่อ